ข้อบังคับ
ของ
สมาคมนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่
(ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 4)
หมวดที่ 1
ความทั่วไป
ข้อที่ 1 สมาคมนี้มีชื่อว่า “สมาคมนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่”
เรียกชื่อเป็นภาษาจีนว่า “ชิงมั่ยจงหัวซังหุ้ย”
เขียนเป็นอักษรจีนว่า “ 清邁中華商會”
เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “ไทยไชนีสบีสเนส เอสโซซิเอชั่น ออฟ เชียงใหม่”
เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “THAI CHINESE BUSINESS ASSOCIATION OF CHIANG MAI ”
มีอักษรย่อว่า “TCBA”
ข้อ 2 เครื่องหมายของสมาคมเป็นรูปวงกลม อักษรจีนอยู่ตรงกลางอ่านว่า “ซัง” มีชื่อภาษาไทยอ่านว่า “สมาคมนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่” อยู่ด้านบนและมีอักษรจีนอยู่ด้านล่างอ่านว่า “ชิงมั่ยจงหัวซังหุ้ย” ดวงตราสำคัญของสมาคมเป็นดังนี้
ข้อที่ 3 สำนักงานใหญ่ของสมาคมตั้งอยู่ ณ เลขที่ 232 หมู่ที่ 2 ทางหลวงแผ่นดินเชียงใหม่ – ลำปาง ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ 50140 โทร 053 – 422948 – 9 สำนักงานสาขาของสมาคมตั้งอยู่ ณ – ไม่มี –
ข้อที่ 4 วัตถุประสงค์ของสมาคม
4.1. เพื่อเสริมสร้างมิตรภาพ และความสามัคคีปรองดองในมวลสมาชิก และครอบครัวสมาชิก
4.2. เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในทางธุรกิจการค้าแก่มวลสมาชิก
4.3. เพื่อส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ การค้า การศึกษา การพัฒนาเยาวชน สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
ไทย – จีน
4.4. เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ความรู้และประสบการณ์ในด้านธุรกิจการค้าเพื่อให้ทันต่อ
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคม
4.5. เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดต่อและประสานงานกับองค์กรชาวไทยเชื้อสายจีนในด้านธุรกิจ
การค้า การศึกษา และวัฒนธรรม และร่วมดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิก
ครอบครัวสมาชิก องค์กร และสังคม
4.6. เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดต่อประสานงานและสร้างความสัมพันธ์ด้านธุรกิจการค้า
การศึกษา และวัฒนธรรมกับประเทศจีนและประเทศอื่นๆ
4.7. เพื่อจัดให้สมาชิกมีสถานที่พบปะสังสรรค์ และประกอบกิจกรรมอันเป็นการส่งเสริมสุขภาพ
และพลานมัย
4.8. เพื่อดำเนินกิจกรรมสาธารณกุศล ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทังนี้วัตถุประสงค์ทั้งหมดของ
สมาคมไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
หมวดที่ 2
สมาชิก
ข้อที่ 5 สมาชิกของสมาคมมี 2 ประเภท คือ
5.1. สมาชิกสามัญ ได้แก่ พ่อค้า นักธุรกิจชาวจีน หรือผู้สืบสันดานขอชาวจีน ซึ่งได้ประกอบธุรกิจ
การค้าพาณิชยกิจอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ และใกล้เคียง
5.2. สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ บุคคลผู้ทรงเกียรติ หรือทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีอุปการะคุณแก่สมาคม
ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม
ข้อที่ 6 สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
6.1. เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
6.2. เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย
6.3. ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
6.4. ไม่เคยต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือ
เสมือนไร้ความสามารถหรือต้องโทษจำคุก ยกเว้นความผิดฐานประมาท หรือลหุโทษการ
ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดในกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นในขณะที่สมัครเข้าเป็นสมาชิก
ของสมาคมเท่านั้น
ข้อที่ 7 ค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคม
7.1. สมาชิกสามัญ จะต้องเสีย ค่าลงทะเบียนครั้งแรก 100.00 บาท
ค่าบำรุงสมาคมตลอดชีพ 1,000.00 บาท
7.2. สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคมแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ข้อ 8 การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ยื่นใบสมัคร
ตามแบบของสมาคมต่อเลขานุการ โดยมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 1 คน และให้เลขานุการ
ติด ประกาศรายชื่อผู้สมัครไว้ ณ สำนักงานของสมาคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วันเพื่อให้สมาชิก
อื่นๆของสมาคมจะได้คัดค้านการสมัครนั้น เมื่อครบกำหนดประกาศแล้ว ก็ให้เลขานุการนำใบสมัครและ หนังสือ คัดค้านของสมาชิก(ถ้ามี) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาอนุมัติว่าจะรับหรือไม่ รับเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม และเมื่อ คณะกรรมการพิจารณาการสมัครแล้ว ผลเป็นประการใดให้ เลขานุการเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบโดยเร็ว
ข้อ 9 ถ้าคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติให้รับผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก ก็ให้ผู้สมัครนั้นชำระเงิน ค่าลง
ทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการ
และสมาชิกภาพของผู้สมัครให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้ชำระเงินค่าลงทะเบียนและค่าบำรุง
สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าผู้สมัครไม่ชำระเงิน ค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงภายในกำหนด
ก็ให้ ถือว่าการสมัครคราวนั้นเป็นอันยกเลิก
ข้อ 10 สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่สมาคมได้ออกหนังสือเชิญเข้าเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์และสิ้นสุดลงตามวาระของคณะกรรมการบริหารเมื่อครบวาระ
ข้อ 11 สมาชิกภาพของสมาชิกให้สิ้นสุดลงด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
11.1 ตาย
11.2 ลาออก โดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการและคณะกรรมการได้
พิจารณา อนุมัติ
11.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
11.4 ที่ประชุมใหญ่ของสมาคมหรือคณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้ลบชื่อออกจาก
ทะเบียนเพราะสมาชิกผู้นั้นได้ประพฤติตนนำความเสื่อมเสียมาสู่สมาคม
ข้อ 12 สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
12.1 มีสิทธิเข้าใช้สถานที่ของสมาคมโดยเท่าเทียมกัน
12.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
12.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ที่สมาคมจัดให้มีขึ้น
12.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
12.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้ง หรือได้รับการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็น
กรรมการสมาคม และมีสิทธิออกเสียงลงมติต่าง ๆ ในที่ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง
12.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม
12.7 มีสิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด ร้องขอต่อคณะกรรมการ
ให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญได้
12.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติและข้อบังคับของสมาคมโดยเคร่งครัด
12.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
12.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ของสมาคม
12.11 มีหน้าที่ร่วมกิจกรรมที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
12.12 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของสมาคมให้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
หมวดที่ 3
การดำเนินกิจการของสมาคม
ข้อ 13 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งทำหน้าที่บริการกิจการสมาคมจำนวนไม่เกิน40คน โดยที่ประชุมใหญาสามัญประจำปีเลือกสมาชิกสามัญเป็นกรรมการของสมาคมจำนวนไม่เกิน 25 คน เลือกตั้งนายกจากกรรมการ 25 คน ทำการสรรหาบุคคลที่เห็นสมควรอีกไม่เกิน 15 คน เข้ามาเป็นกรรมการสมทบรวมแล้วไม่เกิน 40 คนส่วนตำแหน่งต่างๆให้นายกสมาคมมีอำนาจจัดสรรตำแหน่งแต่เพียงผู้เดียว
13.1 นายกสมาคม ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคม เป็นผู้แทนสมาคมในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม
คณะกรรมการและการประชุมใหญ่ของสมาคม
13.2 อุปนายก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคมในการบริหารกิจการสมาคมปฏิบัติตามหน้าที่นายกสมาคม ได้มอบหมาย และทำหน้าที่แทนนายกสมาคมเมื่อนายกสมาคมไม่อยู่หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทำหน้าที่แทน นายกสมาคมให้ ตำแหน่งเป็นผู้กระทำการแทน
13.3 เลขานุการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมดเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของ
สมาคมในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคำสั่งของนายกสมาคมเป็นเลขานุการในการประชุมต่างๆ ของสมาคม
13.4 เหรัญญิก มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคม เป็นผู้จัดทำบัญชีรายรับ รายจ่ายบัญชีงบดุลของสมาคมและเก็บเอกสาร หลักฐานต่าง ๆ ของสมาคมไว้เพื่อการ ตรวจสอบ
13.5 ปฏิคม มีหน้าที่ในการต้อนรับแขกของสมาคม เป็นหัวหน้าในการจัดเตรียมสถานที่ของสมาคมและจัดเตรียมสถานที่ประชุมต่าง ๆ ของสมาคม
13.6 นายทะเบียน มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคมประสานงานกับเหรัญญิกในการเรียกเก็บเงินค่าบำรุงสมาคมจากสมาชิก
13.7 ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียง เกียรติคุณของสมาคมให้สมาชิกและ
บุคคลโดยทั่วไปให้เป็นที่รู้จัก แพร่หลาย
13.8 กรรมการ ตำแหน่งอื่น ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกำหนดให้มีขึ้นโดยมีจำนวนเมื่อรวมกับ ตำแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้วจะต้องไม่เกินจำนวนที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้ แต่ถ้าคณะกรรมการมิได้กำหนดตำแหน่งก็ให้ถือว่า เป็นกรรมการกลาง
ข้อ 14 คณะกรรมการของสมาคมสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 2 ปีและเมื่อคณะกรรมการอยู่ใน ตำแหน่ง ครบกำหนดตามวาระแล้ว แต่คณะกรรมการชุดใหม่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ ก็ให้คณะกรรมการที่ครบกำหนดตามวาระรักษาการไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ และเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการส่งและรับมอบงานกันระหว่าง คณะกรรมการชุดเก่าและคณะกรรมการชุดใหม่ให้เป็นที่เสร็จสิ้นภายใน 30 วันนับแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่ ได้รับอนุญาตจดทะเบียน จากทางราชการ
14.1 เมื่อคณะกรรมการอยู่ครบ 2 ปีให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในการเลือกตั้งนั้นจะเลือกผู้ที่ดำรง
ตำแหน่งสืบต่อไปใหม่ก็ได้ ยกเว้นตำแหน่งนายกจะได้รับเลือกเป็นนายกติดต่อกันเกินกว่า
สองสมัยมิได้
ข้อ 15 ตำแหน่งคณะกรรมการสมาคมถ้าต้องว่างลงก่อนครบกำหนดตามวาระก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้ง
สมาชิกสามัญคนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น สำหรับตำแหน่งนายกสมาคมจะได้รับเลือกเป็นนายกติดต่อได้ไม่เกิน 2 สมัย และในกรณีที่ตำแหน่งนายกว่างลงก่อนครบกำหนดตามวาระด้วยเหตุผลใดก็ตามให้กรรมการของสมาคมเลือกกรรมการคนใดคนหนึ่งดำรงตำแหน่งแทน และให้อยู่ในตำแหน่งเท่าระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามวาระ
ข้อ 16 กรรมการอาจจะพ้นจากตำแหน่งซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระก็ด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คือ
16.1 ตาย
16.2 ลาออก
16.3 ขาดจากสมาชิกภาพ
16.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตำแหน่ง
ข้อ 17 กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่งกรรมการที่ให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อ
คณะกรรมการและให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อคณะกรรมการมีมติให้ออก
ข้อ 18 อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
18.1 การทำนิติกรรมใดๆของสมาคมหรือในการลงลายมือชื่อในงานเอกสารข้อบังคับและสรรพ
หนังสืออันเป็นหลักฐานผูกพันสมาคม การอรรถคดีจะต้องผ่านมติของคณะกรรมการ โดยมี
นายกสมาคมร่วมกับกรรมการอีก 2 คน ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญของสมาคม จึง
จะถือว่าเป็นการสมบูรณ์ผูกพันสมาคมตามกฎหมาย
18.2 มีอำนาจออกระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติโดยระเบียบปฏิบัตินั้น จะต้องไม่
ขัดต่อข้อบังคับฉบับนี้
18.3 มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม
18.4 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษาหรือ อนุกรรม
การจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
18.5 มีอำนาจที่เรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
18.6 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการในตำแหน่งอื่น ๆ ที่ยังมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
18.7 มีอำนาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตลอดจนมีอำนาจอื่นๆ
ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
18.8 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมดรวมทั้งการเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
18.9 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญตามที่สมาชิกสามัญจำนวน 1 ใน 3 ของ
สมาชิกทั้งหมดได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่ วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องจัดให้
มีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
18.10 มีหน้าที่จัดทำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงิน ทรัพย์สินและการดำเนิน
กิจกรรมต่างๆ ของสมาคมให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถจะให้สมาชิกตรวจดู
ได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
18.11 จัดทำบันทึกการประชุมต่าง ๆ ของสมาคมเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิก
ได้รับทราบ
18.12 มีหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ข้อบังคับนี้ได้กำหนดไว้
ข้อ 19 คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยให้จัดขึ้นในวัน 15 ของทุก ๆ
เดือน ทั้งนี้เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
ข้อ 20 การประชุมคณะกรรมการจะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการ
ทั้งหมดจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม มติของที่ประชุมคณะกรรมการถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้
เป็น อย่างอื่นก็ให้ถือคะแนนเสียงมากเป็นเกณฑ์แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการ
ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 21 ในการประชุมคณะกรรมการถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่
สามารถมาปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุมในคราวนั้นเลือกตั้งกันเองเพื่อให้ กรรมการ
คนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 4
การประชุมใหญ่
ข้อ 22 การประชุมใหญ่ของสมาคมมี 2 ชนิด คือ
22.1 ประชุมใหญ่สามัญประจำปี
22.2 ประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อ 23 คณะกรรมการจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๆ ละ 1 ครั้งภายในไม่เกิน 90 วัน
นับแต่วันสิ้นสุดของทางการบัญชีของทุกๆปี
ข้อ 24 การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้ก็โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นสมควรจัดให้มีขึ้นหรือ
เกิดขึ้นด้วยการเข้าชื่อร่วมกัน ของสมาชิกไม่นิ้ยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมดร้องขอต่อ
คณะกรรมการให้จัดให้มีขึ้น
ข้อ 25 การแจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ ให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิกได้ทราบ
และการแจ้งจะต้องเป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุวันเวลาและสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้งให้
สมาชิกได้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และประกาศแจ้งกำหนดนัดประชุมไว้ ณ สำนังาน
ของสมาคม เป็นเวลาไม่น้อยกล่าว 7 วัน ก่อนถึงกำหนดการประชุมใหญ่
ข้อ 26 การประชุมใหญ่สามัญประจำปี จะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
26.1 แถลงกิจการที่ผ่านมาในรอบปี
26.2 แถลงบัญชีรายรับรายจ่ายและบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับทราบ
26.3 เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เมื่อครบกำหนดตามวาระ
26.4 เรื่องอื่นๆถ้ามี
ข้อ 27 ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญจะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วม
ประชุมอย่างน้อยครึ่งหนึ่งหรือไม่น้อยกว่า 50 คน ครบองค์ประชุม แต่ถ้าเมื่อถึงกำหนดเวลาประชุม
ยังมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุมก็ให้เลือนการประชุมคราวนั้นออกไปและให้
จัดประชุมใหญ่อีกครั้งหนุ่งภายใน 14 วัน นับแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก การประชุมครั้งหลังนี้ไม่
บังคับว่าต้องครบองค์ประชุม
ข้อ 28 การลงมติต่างๆ ในที่ประชุมใหญ่ ถ้าข้อบังคับได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นก็ให้ถือคะแนนเสียง
ข้าง มากเป็นเกณฑ์แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติมีคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุม
เป็นผู้ชี้ ขาด
ข้อ 29 ในการประชุมใหญ่สามัญของสมาคม ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่มาร่วมประชุม
หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ทำการเลือกตั้งกรรมการที่มาร่วมประชุม
คนใด คนหนึ่งให้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 5
การเงินและทรัพย์สิน
ข้อ 30 การเงินและทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคม
ถ้ามีให้นำฝากไว้กับสถาบันการเงินที่คณะกรรมการได้ลงมติโดยเอกฉันท์ให้นำฝากไว้
ข้อ 31 การลงนามในตั๋วเงินหรือเช็คของสมาคม จะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคมหรือผู้ทำการ
แทนลงนามร่วมกับเหรัญญิก หรือผู้ทำการแทน พร้อมกับประทับตราของสมาคม จึงจะถือว่า
ใช้ได้
ข้อ 32 ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 10,000.00 บาท (หนึ่งหมื่นบาท
ถ้วน) ถ้าเป็นกรรณีฉุกเฉินจะต้องมีความเห็นชอบร่วมกับอุปนายก 1 คนและเหรัญญิกไม่เกิน
50,000.00 บาท(ห้าหมื่นบาทถ้วน) แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการสมาคมทราบในการประชุม
คราวต่อไป ถ้าเกินกว่านั้นจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการและคณะกรรมการจะอนุมัติให้
จ่ายเงินได้ครั้งละไม่เกิน 200,000.00 บาท (สองแสนบาทถ้วน) ถ้าจำเป็นจะต้องจ่ายเกินกว่านี้ต้อง
ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่
ข้อ 33 ให้เหรัญญิกของสมาคมมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดของสมาคมได้ไม่เกิน 2,000 บาท (สอง
พันบาท)ถ้าเกินกว่าจำนวนนี้ จะต้องนำฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันทีที่โอกาสอำนวย
ให้
ข้อ 34 เหรัญญิกจะต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายและ บัญชีงบดุลให้ถูกต้อง ตามหลักวิชาการ
การรับ หรือจ่ายเงินทุกครั้ง จะต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือลงลายมือชื่อของนายกสมาคมหรือ
ผู้ทำการแทน ร่วมกันเหรัญญิก หรือผู้ทำการแทนพร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อ 35 ผู้สอบบัญชีจะต้องมิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้
รับอนุญาต
ข้อ 36 ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่จะเรียกเอกสารที่เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินจากคณะกรรมการ
และสามารถจะเรียกกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและทรัพย์
สินของสมาคมได้
ข้อ 37 คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้สอบบัญชีเมื่อได้รับการร้องขอ
หมวดที่ 6
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม
ข้อ 38 ข้อบังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ก็โดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้น และองค์
ประชุม ใหญ่จะต้องมีสมาชิกสามัญ เข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่า 50 คน ของสมาชิกสามัญ
ทั้งหมด มติของที่ ประชุมใหญ่ในการให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับ จะต้องมีคะแนนเสียง
ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 39 การเลิกสมาคมจะเลิกได้ก็โดยมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุ
ของกฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ ที่ให้เลิกสมาคม จะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4
ของสมาชิกสามัญที่เข้าประชุมทั้งหมด และองค์ประชุมใหญ่จะต้องไม่น้อยกว่า ครึ่งหนึ่งของ
สมาชิกสามัญ ทั้งหมด
ข้อ 40 เมื่อสมาคมต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตามทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่หลังจากที่ได้
ชำระบัญชี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตกเป็นของมูลนิธิช่องฟ้าซินเซิงวาณิชบำรุงวิทยา
หมวดที่ 7
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 41 การตีความในข้อบังคับของสมาคม หากเป็นที่สงสัยให้๕ณะกรรมการสมาคมโดยเสียงข้างมากของ
จำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 42 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยสมาคมมาใช้บังคับในเมื่อข้อบังตับ
ของสมาคมมิได้กำหนดไว้